เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ มิ.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะคือสัจธรรม ธรรมะคือสิ่งที่ถ้าออกจากปากของครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมนะมันก็มีเนื้อหาสาระ ถ้าออกจากปากครูบาอาจารย์ที่ไม่เป็นธรรม เหมือนเราพูดคุยกันมันเป็นนิยาย มันเป็นสัญญาอารมณ์ แต่ถ้าเป็นสัจจะ เป็นความจริงนะ ถ้าความจริงถ้าพูดถึงสัจธรรมมันสะเทือนหัวใจนะ เวลาหัวใจของเรา การเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิดเป็นสัจจะ เป็นความจริง เป็นความจริง แต่เวลาเราเกิดมาแล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงเรื่องกายและเรื่องใจ

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้เป็นความทุกข์เรื่องของร่างกาย เรื่องของธาตุ ๔ เป็นสำคัญ ขาดตกบกพร่องสิ่งใดไม่พอใจไปทั้งนั้น เป็นความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ความทุกข์ที่หาอยู่หากินอยู่นี้มันเป็นความทุกข์ มันเป็นความทุกข์ ความทุกข์เนื่องด้วยกาย เนื่องด้วยกายแต่จิตใจมันรับรู้ของมัน จิตใจมันแบกรับภาระ จิตใจก็แบกหาม มันก็เป็นความทุกข์ขึ้นมา ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ

ถ้าทุกข์กาย ทุกข์ใจ แต่ถ้าสัจจะความจริงๆ ถ้าสัจจะความจริงอย่างนี้ถ้าเรามีธรรมะเพื่อชโลมหัวใจของเรา ชโลมหัวใจของเรานะมันเป็นหน้าที่ คำว่าหน้าที่ เวลาเรากินอาหาร เรากินอาหารเพื่ออะไร เพื่อดำรงชีวิต แล้วเวลาเราแสวงหามาก็แสวงหามาเพื่อการอยู่การกิน มันเป็นหน้าที่ มันเกี่ยวเนื่องกันไปทั้งหมดแหละถ้ามันเป็นหน้าที่ ถ้าเป็นหน้าที่ สิ่งใดถ้าขาดตกบกพร่ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทำทาน เรามีทาน ศีล ภาวนา

การทำทานคือการเสียสละ คือการเจือจานต่อกัน คือการมีน้ำใจต่อกัน แผ่นดินธรรม ถ้ามีแผ่นดินธรรมแผ่นดินที่มีความเสมอภาค แผ่นดินที่พึ่งพาอาศัยกัน มันไม่วิตกกังวลไง มันไม่บีบคั้นหัวใจ หน้าที่ก็เป็นหน้าที่ มันก็ไม่บีบคั้นจนเกินไป แต่หน้าที่ หน้าที่ขาดตกบกพร่อง แล้วมีการเอารัดเอาเปรียบ เราอยู่ในสังคมใดเรามีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ถ้าความทุกข์อย่างนี้ทุกข์กาย ทุกข์กายเสร็จแล้วความที่การเบียดเบียนกันนั้นเป็นเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน มันมาจากหัวใจ

ถ้าเรื่องของหัวใจนะ เราจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน เรามีความเพียบพร้อมขนาดไหน แต่ทุกดวงใจว้าเหว่นะ เวลาเราเห็นคน คนที่ร่าเริง คนที่ประสบความสำเร็จ เราไม่รู้หรอกว่าจิตใจลึกๆ ของเขาเขาเหงานะ เขาเหงา เขาไม่มีที่พึ่ง ถ้าเขาไม่มีที่พึ่ง คนอย่างนั้นมันทุกข์ แล้วเรามองว่ามีความสุขนะ เรามองว่ามีความสุข ประสบความสำเร็จ มีทุกอย่างพร้อมเลย เขามีความทุกข์ได้อย่างไร มีความทุกข์ได้อย่างไร เขามีความทุกข์ของเขา ความทุกข์อย่างนั้น

ฉะนั้น เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาเรามีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้าเรามีที่พึ่งมีความอบอุ่นในหัวใจ เรามาวัดมาวากันเพราะเหตุนี้ เรามีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง มันค่าของน้ำใจไง มันอบอุ่น ถ้ามันอบอุ่น ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์เป็นถึงพระโสดาบันนะ ทำไมพระโสดาบันท่านคร่ำครวญ เรายังเป็นพระโสดาบันอยู่ เราต้องการผู้ที่ชี้นำ ยังต้องการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ จะรั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้

อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา แม้แต่ตถาคตก็ต้องนิพพานไปในคืนนี้ เธอทำคุณงามความดีไว้มาก เธอไม่ต้องวิตกกังวลไป อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะมีสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น ถ้าเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นมันก็อิ่มเต็มในวันนั้น

เวลาพระอานนท์ไปที่ไหน เวลาพระอานนท์วิเวกไป ประชาชนเห็นพระอานนท์ทีไรคร่ำครวญร้องไห้เหมือนกัน คร่ำครวญร้องไห้เพราะอะไร เพราะเห็นหน้าพระอานนท์ทีไรก็ต้องเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัดนี้เห็นหน้าพระอานนท์แต่ไม่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระอานนท์เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็เป็นที่พึ่งของเขาๆ ถ้ามันเป็นที่พึ่งของเขาหัวใจมันไม่ว้าเหว่ไง มันไม่ว้าเหว่ มันไม่เฉา ไม่เหงานะ ถ้าเวลามันเหงามันหงอย ความเหงาความหงอยก็เป็นความทุกข์อันละเอียดนะ

เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน เวลาเราปฏิบัติเราทุกข์เรายาก เราต้องมีสติ มีปัญญา ต้องต่อสู้กับกิเลสไง กิเลสมันขี้เกียจ ขี้คร้าน มันมักง่าย เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ มันเห็นแก่ตัวไง เห็นแก่ตัวตัวมัน เห็นแก่ตัวตัวมันบอกว่าเราจะทำไปทำไม ทำให้มันทุกข์มันยาก ชีวิตเราก็ทุกข์ยากมาพอสมควรแล้ว เราจะต้องมาทุกข์ยากทำไม มันเป็นความเพียรไง ดูสิ นักวิทยาศาสตร์เขาค้นคว้าของเขา คนที่ทำงานประสบความสำเร็จของเขา เขาทดสอบเขาขยันหมั่นเพียรของเขา เขาถึงประสบความสำเร็จของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเราที่ประพฤติปฏิบัติมาฟากตายทั้งนั้นแหละ ท่านทุ่มเทของท่านนะ ท่านทุ่มเทของท่าน ท่านทำของท่าน พอเราไปฟังเวลาท่านเล่าให้ฟัง มันฟังแล้วโอ้โฮ โอ้โฮเลยนะ แต่โอ้โฮขนาดไหน เอาอันนั้นเป็นแบบอย่าง เวลาครูเอกของโลกคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติกับเจ้าลัทธิต่างๆ ๖ ปี ทำทุกรกิริยา ทุกรกิริยาดูสิ ดูในปัจจุบันนี้ในอินเดียเขายังมี พวกพราหมณ์เขาทรมานตนๆ เขามีความคิดอย่างนั้น ความคิดอย่างนั้นก็ยังตกผลึกมา ๒,๐๐๐ กว่าปีก็ยังอยู่อย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปศึกษากับเขามาทั้งนั้นแหละ

เวลาเขาบอกเขาล้างบาปๆ ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถ้าล้างบาปนะ ปลา เต่ามันอยู่ในแม่น้ำมันต้องไม่มีบาปเลย ปลาอยู่ในน้ำเรายังเอามาเป็นอาหารเลย มันจะล้างบาปที่ไหนล่ะ เวลาความคิดเขาคิดทางวิทยาศาสตร์คิดอย่างนั้น คิดว่าถ้าเราทำความสะอาดอย่างนั้น เราจะชำระล้างอย่างนั้น จะทำอย่างนั้น แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาทำทุกรกิริยานะมันละล้าละลัง เราจะประสบความสำเร็จหรือเราไม่ประสบความสำเร็จ ความคิดมันอยู่จิตใต้สำนึกมันก็มีความรู้สึกนึกคิดของมัน

ทั้งๆ ที่ปรารถนามานะ สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนั้นนะ ทดสอบกับเขาๆ โลกมีแบบนี้ เราทดสอบกับโลกก่อน ถึงที่สุดแล้วมันไปไม่รอด พอไปไม่รอดคิดถึงโคนต้นหว้านั้น ไปฉันอาหารของนางสุชาดาเพราะคิดคนเดียว ปัญจวัคคีย์ล้อมรอบอยู่นะ ปัญจวัคคีย์ล้อมรอบอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่จะตรัสรู้เสียที อุปัฏฐากมา ๖ ปีไม่มีใครบอก ไอ้คนที่รออยู่ข้างหลังมันก็เร่งรัดเข้ามา ไอ้ตัวเองมันก็ยังทำไปไม่ได้ แต่ด้วยความคิดของท่าน ความคิดของท่านเราทดสอบมาขนาดนี้แล้ว กลั้นลมหายใจสลบถึง ๓ หนแล้ว ทำเต็มที่แล้ว ทางวิทยาศาสตร์มันทำไม่ได้แล้ว คิดถึงโคนต้นหว้า

คำว่าโคนต้นหว้าคิดถึงความสงบระงับอันนั้น เวลาโคนต้นหว้าเป็นราชกุมาร กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก จิตมันสงบได้ แม้แต่จิตมันสงบนั้น ความทุกข์ความยาก ๖ ปีที่ทุกข์ทรมานมาขนาดไหน กับความสุขอันนั้น ความสุขที่ฝังใจมาทำความสงบอันนั้น คิดถึงอันนั้น คิดถึงอันนั้น ถึงมาฟื้นฟูร่างกายมาฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วพยายามฟื้นฟู ฟื้นฟูแล้วคืนนั้นนั่ง เวลากำหนดไปปฐมยาม พอจิตมันสงบเพราะกำหนดอย่างนั้น มันทำมาหมดแล้ว คือไปทุกทาง มันจนตรอกหมดแล้ว กลับมาในหัวใจ ทุกข์กายทุกข์ใจ ทุกข์กายทุกข์ใจ

เวลาทุกข์ร่างกายก็ทรมานร่างกายของเรา พราหมณ์เขาทรมานร่างกายของเขา เขาว่านั่นทรมานกิเลสไง แต่กิเลสมันหลบอยู่ภายใน เวลาทำความสงบของใจเข้าไปมันเข้าสู่ใจ เข้าสู่กรรมฐาน เข้าสู่ฐีติจิต เวลาเข้าไปถึงใจปั๊บแต่ยังไม่มีปัญญา บุพเพนิวาสานุสติญาณเข้าไปถึงพลังงานอันนั้น พลังงานนั้นมันรื้อค้นในใจของมันเอง โดยธรรมชาติ โดยข้อเท็จจริงของมันเป็นอย่างนั้น แต่มันไม่ใช่มรรค ดึงกลับมา จุตูปปาตญาณมันก็ไปของมันโดยกำลัง โดยข้อเท็จจริงของมัน แต่เวลาจะตรัสรู้ตรัสรู้ด้วยมรรค

ด้วยมรรคคือมรรคญาณ ด้วยสติด้วยปัญญาของจิตดวงนั้น พอด้วยสติปัญญาของจิตดวงนั้นคือมรรค เวลามรรคญาณมันชำระล้าง พอมันสำรอกมันคายออกมันไม่เป็นอดีต ไม่เป็นอนาคต บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณมันไม่ไปอีกแล้ว เพราะมันชำระล้าง มันสะอาดที่นี่ มันจบที่นี่ มันทำลายที่นี่ ถ้ามันทำลายที่นี่ แล้วความหงอยเหงามันมาจากไหนล่ะ เวลาเราสมบูรณ์พูนสุขนะ มีทุกอย่างพรั่งพร้อมนะแต่ว้าเหว่ มันว้าเหว่เพราะเราไม่มีธรรมในใจไง ถ้ามันมีธรรมในใจ ที่เรามาทำบุญกุศลกันนี้ก็เพราะว่าให้จิตใจมันเปิด จิตใจเป็นสาธารณะนะ เพราะเราเสียสละได้ เรายอมรับความเห็นต่างของคนอื่นได้เราจะยอมรับฟัง

ไอ้นี่รับฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา มันรับฟังมันก็ทะลุไป มันไม่ตกผลึกในใจเลย แต่ถ้าเราเสียสละทานของเรา เราทำบุญกุศลของเรา ถ้าทำบุญกุศลมันเห็นคนเขารับจากมือเราไป เขามีความสุข เรามีความสุขใจแน่นอน เราทำสิ่งใดเพื่อเป็นประโยชน์กับสังคมเรามีบารมีนะ เรามีความอบอุ่นในหัวใจของเรา ถ้ามีความอบอุ่นในหัวใจของเรา แล้วเราจะนั่งสมาธิ เราจะประพฤติปฏิบัติของเรามันทำได้แล้ว ถ้าเราไม่มีบารมีเลย พอเราเข้าไปอยู่ในที่รโหฐานของเรา เราก็ว้าเหว่แล้ว เราคิดว่าเราจะประพฤติปฏิบัติ เราเข้าในห้องในหับของเรา เราจะมาภาวนามันก็ว้าเหว่แล้ว

พระเราดูสิ บวชแล้วอยากจะออกธุดงค์ อยากจะพ้นจากทุกข์ พอเข้าป่าไปไม่มีเพื่อน ไม่มีหมู่คณะไปมันก็ท้อแท้แล้ว มันก็คิดร้อยแปดแล้ว แต่ถ้าเรามีบุญกุศลขึ้นมา พอเราเข้าไปเราแช่มชื่นนะ เวลาเข้าป่าเข้าเขาไปมันรื่นเริง มันอาจหาญ มันมีความสงบ สถานที่วิเวก สัปปายะ ๔ เราเข้ามาเพื่อฝึกฝนเรา เราเข้ามาด้วยความเห็นของเรา ด้วยปัญญาของเรา ถ้าเรายังอยู่ในสังคมอย่างนั้น เรายังคลุกคลีอย่างนั้นมันมีแต่การคลุกคลี มันเอาเวลาของเราไปหมดเลย แล้วจิตใจมันก็ดื้อด้าน ดื้อด้านเพราะอะไร เพราะมันนอนใจ แต่เวลาเราเข้าป่าเข้าเขาไปมันตื่นเต้น

มันตื่นเต้นเราอยู่คนเดียวแล้วนะ ต่อไปนี้สิ่งใดจะเกิดขึ้นเราต้องแก้ไขของเราเอง สิ่งใดจะเกิดขึ้นเราจะขาดตกบกพร่อง เราจะอุดมสมบูรณ์ขนาดไหนเราต้องพึ่งบารมีของเราเอง เวลาเราไปของเราแล้ว เราบิณฑบาตถ้าได้ ได้ก็ฉันตามนั้น ไม่ได้ก็อดมื้อกินมื้อไป แล้วเรามีสติปัญญามันจะย้อนกลับมา ย้อนกลับมา ที่มันรื่นเริง มันอาจหาญตรงนี้ไง อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด ก็เรามารื้อค้นตรงนี้ เราจะมาถากถาง เราจะมากำจัดกิเลสในใจของเราไง

ถ้าเรามากำจัดกิเลสในใจของเรา ถ้ามันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แก้วสารพัดนึกเป็นที่พึ่งมันไม่ว้าเหว่ มันไม่ว้าเหว่ มันไม่เหงา มันไม่เศร้าสร้อย ถ้ามันไม่ว้าเหว่ ไม่เหงา ไม่เศร้าสร้อย แล้วมันมีความสงบขึ้นมานะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พอมันสงบขึ้นมา ความเศร้าสร้อย ความเหงาหงอย กับความรื่นเริง ความอาจหาญ แต่มันอยู่ในที่เดียวกัน มันสงบเหมือนกัน ดูจากใจอันนั้นแหละ ถ้าใจอันนั้นมันว้าเหว่นะ มันเศร้าสร้อย มันหงอยเหงาคอตกนะ แต่ถ้ามันอาจหาญนะมีความสุขอยู่คนเดียว มันมีความสุขอยู่คนเดียว มีความรื่นเริงอยู่คนเดียว

มันมหัศจรรย์นะ เวลาจิตมันสงบแล้วเวลาเดินจงกรมเหมือนลอยไปก็ลอยมา มันเบา ร่างกายมันเบา จิตใจมันเบาร่างกายมันก็เบาไปด้วย แต่เวลาเดินจงกรมเท้ายกไม่ขึ้น เท้ายกไม่ขึ้น เดินไม่ไหว มันหนักหน่วงไปหมดนะ มันหนักหน่วงไปหมดมันก็หนักหน่วงมาจากทิฐิมานะภายใน ถ้ากิเลสมันพอกพูนหัวใจ มันทำอะไรมันล้มลุกคลุกคลานไปหมดแหละ แต่ถ้าเรามีสติปัญญาเราแยกแยะของเรา เวลามันสำรอกมันคายของมันๆ จิตมันคายของมัน ไม่มีสิ่งใดเป็นทิฐิมานะในหัวใจ มันเบาของมัน

พอเบาของมันร่างกายเดินเหมือนลอยไปเลย เดินเหมือนไม่ได้เดิน ลอยไปลอยมา มันมีความเบาของมัน แล้วมันจะเหงามันจะว้าเหว่ไหม แล้วถ้าเรายกขึ้นสู่วิปัสสนา เราไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงของมัน อยู่ที่อำนาจวาสนาของจิตดวงนั้น อำนาจวาสนาของจิต เราจะทำให้เหมือนกับใคร เหมือนคนอื่นมันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ทำไมเวลามันขึ้นมาเป็นปัจจุบัน ถ้ามันขึ้นมาเป็นกายเราพิจารณากายของเรา ถ้ามันขึ้นมาเป็นความรู้สึกนึกคิดมันเรื่องของกายเหมือนกัน

พิจารณากายโดยเห็นกาย แล้วพิจารณากายโดยปัญญา พิจารณากายโดยไม่เห็นกาย ถ้าไม่เห็นกายมันมีสติปัญญาแค่ไหน ถ้ามีสติปัญญามันทำได้ ถ้าไม่มีสติปัญญา คนลังเลสงสัยทำอะไรก็ลังเลสงสัยไปทั้งนั้น ถ้าจิตสงบแล้ว มันระงับแล้วมันมีสัมมาสมาธิ มันมีสัมมาสติ ถ้ามีสติ มีสมาธิ ถ้ามันยกขึ้นสู่ปัญญามันเห็นชัดเจนของมัน เพราะมีสติ มีปัญญามันใช้ปัญญาของมัน มันแยกแยะของมันไป มันรับรู้ ถ้ารับรู้พิจารณาไป ถ้าเห็นเวทนา เวทนาจับเวทนาได้แล้วพิจารณาเวทนา ถ้าเห็นจิต เห็นจิตมันเศร้า มันเหงา มันหงอย

ถ้าเห็นจิตถ้ามันสงบแล้วมันรื่นเริง มันอาจหาญ ถ้าเห็นธรรมล่ะ ความรู้สึกนึกคิดมันเป็นธรรมารมณ์ อารมณ์ อารมณ์สิ่งนี้เป็นธรรมหรือเปล่า สิ่งที่ว่าเราเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เวลาพิจารณาไปแล้วมันปล่อยมันเป็นธรรมหรือเปล่า ถ้ามันเป็นธรรมหรือเปล่าไม่เป็นอยู่แล้ว เพราะคำว่ามันเป็นธรรมหรือเปล่าคือสงสัย แต่เวลาผู้ที่ปฏิบัติใหม่ มันเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นเพราะเราทำมา มันมีเหตุมีผลมารองรับหมดแหละ

เวลากิเลสมันหลอกนะ กิเลส อุปกิเลส เวลาเราปฏิบัติเริ่มต้นกิเลสหยาบๆ กิเลสโดยสามัญสำนึกของคนกิเลสมันหยาบๆ เวลามันสงบเข้าไป จิตมันสงบเข้าไปมันอุปกิเลส กิเลสภายใน ความว่างโอภาส สว่าง อุปกิเลสทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ที่มีสติปัญญาขึ้นมาท่านคอยประคองเข้าไปแล้วคอยรักษาเรา คอยให้อุบายไง เพราะเราบอกว่าอย่างนี้เป็นธรรมหรือเปล่า ท่านก็จะถามว่าแล้วเป็นจริงหรือเปล่า ให้เราได้คิดไง ถ้าให้เราคิด เราได้แยกแยะขึ้นมาเราจะไม่เชื่อตัวเอง เชื่อตัวเองไม่ได้ต้องเทียบกับธรรมะตลอด เทียบกับธรรมะ เทียบกับสัจธรรม แล้วฟังธรรมครูบาอาจารย์

ถ้าเราเข้าใจได้ เราทำได้อันนั้นก็เป็นจริง ถ้าเราเข้าใจไม่ได้มันสงสัย จิตใจที่สูงกว่า จิตใจของครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาแล้วมันสูงกว่า สูงกว่าเพราะท่านมีประสบการณ์ของท่าน ท่านล้มลุกคลุกคลานของท่าน เวลาเราประกอบกิจการสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าเรามีอุปสรรค เราผ่านอุปสรรคนั้นเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา แล้วเวลาคนอื่นเขาปฏิบัติมาเขาก็จะเจออุปสรรคแบบนี้ เขาจะล้มลุกคลุกคลานแบบนี้

ฉะนั้น ถ้าล้มลุกคลุกคลานแบบนี้ ถ้าคนมีอำนาจวาสนาบารมีเขาก็จะแก้ไขของเขาไปได้ ถ้าเขาไม่มีอำนาจวาสนาบารมีเขาจะติดอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าติดอยู่ตรงนั้น เวลาภาวนาไปแล้วมันติดนะ มันทุกข์มันยากมาก พอมันทุกข์มันยากมากเราต้องอดนอนผ่อนอาหารเพื่อ เพื่อให้จิตมีกำลังมากขึ้น เพื่อให้แยกแยะมากขึ้น งานของเราจะทุ่มเทมากขึ้น ทุ่มเทเพื่ออะไรล่ะ ทุ่มเทเพื่อปลดล็อคอันนี้ ปลดล็อคที่หัวใจมันติด พอมันผ่านไป มันผ่านไปได้ พอผ่านไปได้เป็นชั้นเป็นตอน เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป พิจารณาเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ทำเพื่อหัวใจของเรา ทำแล้วมันไม่เศร้า ไม่เหงา ไม่หงอยนะ

ความเหงาหงอย ความเศร้าเหงาหงอย ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง เกิดมาเป็นสัจจะเป็นความจริง เกิดมาเป็นอริยทรัพย์ เพราะความเป็นมนุษย์มนุษย์มีสมอง มนุษย์มีสมอง มนุษย์มีปัญญา เป็นสัตว์ประเสริฐ ถ้าสัตว์ประเสริฐ เราเกิดมาในโลกนี้ ในเมื่อเวียนว่ายตายเกิดเราก็มีบุญกุศลเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราไป สิ่งใดอย่าให้มันทุกข์มันยากจนเกินไป แล้วถ้าเราทำได้ สิ่งนั้นเราขวนขวายมาเพื่อประจำโลก ประจำธาตุขันธ์ แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติเข้าทางจงกรม เรานั่งสมาธิภาวนาเราจะต้องการปัญญา ถ้าจิตใจสงบขึ้นมามันจะฝึกหัดใช้ปัญญา คนจะมีปัญญาได้จากการภาวนา

การภาวนาทำให้คนมีเชาวน์ มีปัญญา ปัญญาของโลกคือโลกียปัญญา ปัญญาของโลกคือรู้เท่าทันสังคม ปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญาของจิต รู้เท่าทันความหลอกลวงของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก รู้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทำให้จิตนี้เศร้า ให้เหงาให้หงอย ถ้าเราเข้าไปเติมเต็ม ถ้าปัญญาอย่างนี้เขาเรียกภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นจากความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา เราทำเพื่อหัวใจของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำอย่างนี้ ฟังธรรมๆ เป็นวิธีการ

จากใจดวงหนึ่งใจของครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้วท่านจะเห็นคุณค่าตรงนี้มาก ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเขามีเหตุมีผลของเขา เขาจะมีคุณธรรมในใจของเขา ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจของเขา เขาจะเป็นศาสนทายาท เป็นทายาทโดยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเขามีธรรมในหัวใจของเขา เขาจะเป็นที่พึ่งในใจของเขา เขาสามารถเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของหมู่คณะได้ ของสังคมได้ ของสงฆ์ได้

ถ้าเขามีธรรมในหัวใจของเขา เพราะเขามีธรรมในหัวใจของเขาอย่างนั้น เทวดา อินทร์ พรหมถึงมาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ เพราะเทวดา อินทร์ พรหมต้องการวิธีการเข้าไปถึงใจ เพราะเวลาเทวดา อินทร์ พรหมเขาได้สถานะ เหมือนเราได้เป็นมนุษย์ เขาได้เป็นเทวดา เขาได้เป็นพรหม เขาได้ภพชาติมาเขาก็ไม่รู้จักหัวใจของเขาเหมือนกัน แล้วเขาจะประพฤติปฏิบัติให้สู่มรรค ให้เข้าสู่หัวใจของเขา เขาต้องการฟังตรงนี้ เขาต้องการฟังว่าคนให้มีปัญญาทวนกระแสเข้าไปสู่ใจของตัว เพื่อไปกำจัดความเหงา ความหงอย ความเศร้าสร้อยในหัวใจนั้นให้มันอิ่มเต็มขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ให้เป็นสัจจะความจริงกับใจดวงนั้น เอวัง